Phonetics Practices

 Phonetics Practices


Voiceless Consonants

  • /f/ เสียง /f/ นั้น เหมือนกับเสียง ฟ ฟัน เป็นเสียงอโฆษะ แม้ว่าเวลาออกเสียง เสียงเราใช้ฟันบนแตะริมฝีปากล่างเช่นเดียวกันแต่ก็ต่างจากเสียง /v/ เนื่องจากเสียง /f/ นั้น เป็นเสียงอโฆษะขณะที่เสียง /v/ เป็นเสียงโฆษะ ดังนั้นคำว่า love ต้องออกเสียงว่า /lʌv/ ไม่ใช่ /lʌf/ เช่นเดียวกับคำว่า five ต้องออกว่า /faɪv/ ไม่ใช่ /faɪf/  
  • /s/ เสียง S จัดว่าเป็นเสียงเสียดแทรกกล่าวคือลมจะผ่านช่องแคบๆระหว่างปลายลิ้นกับฟันหน้าริมฝีปากแยกออกจากกันเพียงเล็กน้อย
  • / θ /  เสียง / θ / ซึ่งเป็นเสียงอโฆษะ(เสียงไม่ก้อง) ถ้าออกเสียง / θ /ซึ่งเป็นเสียงอโฆษะก็จะมีเพียงเสียงลมลอดออกมาระหว่างฟันล่างและฟันบน
  • / ʃ / เสียง /ʃ/ ปลายลิ้นเกือบจะแตะปุ่มเหงือกและส่วนกลางของลิ้นแตะบริเวณส่วนหน้าของเพดานแข็ง เสียง / ʃ / เป็นเสียงอโฆษะเสียงดังกล่าวเหมือนกับเวลาที่เราส่งเสียง ชู่ ชู่ เมื่อจะบอกให้คนอื่นหยุดพูด
  • /tʃ / เวลาที่ออกเสียง /tʃ/ จะมี 2 ขั้นตอนในตอนแรกปลายลิ้นแตะปุ่มเหงือกเหมือนกับที่เราออกเสียง/t/ จากนั้นลมก็จะค่อยๆปล่อยออกมาผ่านช่องแคบๆในปากเป็นเสียงอโฆษะ

Voiced Consonants

  • /v / เสียง /v/ เป็นเสียงโฆษะ เวลาที่ออกเสียงนี้เราจะต้องใช้ฟันบนแตะริม ฝีปากล่างและทำให้เสียงก้องเสียงดังกล่าวนี้ไม่มีในภาษาไทย ดังนั้นเวลาที่คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียง /v/ จึงมักแทนเสียง /v/ ด้วยเสียง /w/ เช่น คำว่า van /væn/ เรา มักจะออกว่า /wæn/ เพราะเราจะคุ้นเคยกับ /w/มากกว่าเพราะเสียง /w/ เหมือนกับเสียง ว แหวน เวลาที่ออกเสียง /w/ นั้น เพียงแต่ห่อริมฝีปากก็เป็นเสียง /w/ แล้ว 
  • /z /  เสียง /z/ เวลาที่ออกเสียง /z/ เราจะใช้ปลายลิ้นแตะเบาๆ ที่ปุ่มเหงือกและทำให้เสียงก้อง เสียง /z/ เป็นเสียงโฆษะซึ่งต่างจากเสียง /s/ หรือ ส เสือ ที่เป็น เสียงอโฆษะ ในภาษาไทยเรามีเสียง /s/ หรือ ส เสือ แต่ไม่มีเสียง /z/ ซึ่งเป็น เสียงโฆษะ ดังนั้นคนไทยจึงประสบปัญหาเวลาที่จะออกเสียงคำว่า  zoo หรือ zebra เพราะเรามักจะแทนเสีียง /z/ ด้วย /s/ เสมอ
  • /ð/  ถ้าถ้าจะต้องออกเสียง /ð/ ซึ่งเป็นเสียงโฆษะก็จะมีเสียงออกมาด้วยแทนที่จะมีแต่ลมออกมาเท่านั้น
  • /3 / เสียง /3/ เป็นเสียงโฆษะและเวลาที่ออกเสียงนี้ปลายลิ้นเกือบจะแตะปุ่มเหงือกจึงไม่ใช่เสียง ช ช้างแต่อย่างใด
  • /d3/ เสียง /d3/ นี้ ต่างจากเสียง จ จาน ใน ภาษาไทยของเรา แม้คำว่า joy จะเขียนในภาษาไทยว่า จอย แต่เวลาที่ออกเสียงคำว่า joy จะต้องออกเสียงว่า d3ər คือใช้เสียงโฆษะ
  • /g /  เสียง / g / เวลาที่ออกเสียง /g/ ลิ้นส่วนหลังจะแตะเพดานอ่อน /g/ เป็น เสียงโฆษะซึ่งต่างจาก /k/ ซึ่งเป็นเสียงอโฆษะ ในภาษาไทยมีเสียง /k/ ซึ่งออกเสียง เหมือน ค ควาย แต่ไม่มีเสียง /g/ เรามักจะเข้าใจว่าเสียง /g/ นั่นก็คือเสียง ก ไก่ แต่ จริง ๆ แล้วมิใช่เลย จริง ๆ แล้วเสียง ก ไก่ นั้น คือเสียง /k/ เวลาที่ตามหลังเสียง /s/ เช่นคำว่า sky skin scan (สกาย สกิน สแกน) ซึ่งต่างจากเสียง /g/ ในคำว่า girl guy  giggle เป็นต้น

Other Consonants

  • /l/  สำหรับเสียง / l / หรือเสียง ล ลงในภาษาไทย เวลาที่ออกเสียงดังกล่าว ปลายลิ้นจะแตะที่ปุ่มเหงือก และลมจะผ่า ออกมาบริเวณข้างลิ้นทั้งสองข้าง เราจึง เรียกเสียง /l / นี้ว่าเสียงข้างลิ้น หรือ lateral sound เสียง     / l / ในภาษาอังกฤษเกิดต้น คํา กลางคํา และท้ายคํา เช่น Like / l /  belong / l / school / l / แต่ในภาษาไทยเสียง ล ลิง หรือ เสียง / l / นั้นไม่ปรากฏท้ายคำ ดังนั้นคนไทยมักจะมีปัญหาเวลาออกเสียง /l /  ท้ายคํา เช่น เวลาออกเสียงคำว่า ball มักจะออกเป็น /bɔn/ บอน แทนที่จะเป็น /bɔl/ - บอล เพราะไม่ชินกับการออกเสียง / l /  เป็นตัวสะกดนั่นเอง  

Short Vowels

  • /ə/ ในภาษาอังกฤษใช้แทนเสียง / อะ / แต่ถ้ามีเสียงข้างหน้าและหลังของสระนี้จะออกเสียง /เออะ/ สำหรับหางเสียงจะเป็นเสียง / j /

Long Vowels

  • /uː/ เสียง /u/ จะออกเสียงว่า “อู” เป็นการออกเสียงในลำคอพร้อมกับเปล่งเสียงทำปากเป็นเสียงอู เช่น  food ,you, shoe



ความคิดเห็น